พลูคาว รักษามะเร็ง ในมุมมองของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
พูดถึงโรคมะเร็ง ใครก็ไม่อยากเป็น พอเป็นแล้วก็สร้างความกังวลใจเป็นอย่างมาก ลำบากต้องไปหาสารพัดวิธีมารักษา ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก รวมไปถึงยาสมุนไพร วันนี้เราจะมาพูดถึงประเด็น พลูคาว รักษามะเร็ง ในมุมมองของแพทย์หญิงดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์ คอลัมนิสต์ประจำนิตยสารชีวจิตกันค่ะ
โรคมะเร็งร้ายที่มาไม่บอกไม่กล่าว
สภาพแวดล้อมของโลกเราทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย มีทั้งมลพิษจากสารเคมีและรังสี อีกทั้งการดำรงชีวิตประจำวันก็เร่งรีบ ส่งผลให้เกิดความเครียดมากจนมีผลต่อสุขภาพของเราและก่อให้เกิดโรคมากมาย
โรคที่นับวันจะพบมากขึ้นเรื่อยๆคือ โรคมะเร็ง สาเหตุการเกิดโรคจริงๆนั้นยังไม่ทราบ แต่มีการวิเคราะห์ว่าเกิดจากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นเป็นตัวกระตุ้น รวมถึงเรื่องการบริโภคอาหารด้วย
เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้รับข่าวเศร้าติดๆกัน ข่าวแรกคือ เพื่อนสมัยเรียนมัธยมด้วยกันเสียชีวิตแล้ว ข่าวต่อมาคือ การเสียชีวิตของน้องแพทย์ที่เรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทั้งสองท่านเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอด
อาการของเพื่อนที่ผู้เขียนไปตรวจคือ สายตาพร่ามัว ปวดศีรษะเป็นบางครั้ง ทีแรกจะไปตรวจตาเพราะคาดว่าตาน่าจะมีปัญหาเนื่องจากอายุมากขึ้น ประกอบกับใช้สายตามาก แต่เมื่อแก้ไขด้วยการใช้แว่นสายตายาวแล้วอาการก็ไม่หาย จึงไปพบจักษุแพทย์และไม่คาดคิดว่ตนเองเป็นโรคร้ายแรงอะไร
กลายเป็นว่าตรวจพบมะเร็งปอดในระยะสุดท้ายเพราะลามไปที่สมองเรียบร้อยแล้ว เพื่อนคงรู้สึกช็อก เนื่องจากไม่มีอาการทางปอดแสดงให้เห็นเลย ถ้ามีคงไม่สายอย่างนี้(เพื่อนเป็นพยาบาลค่ะ)
เพื่อนร่วมรุ่นเมื่อได้ทราบข่าวต่างตกใจและไม่คิดว่าเพื่อนจะพบชะตาชีวิตอย่างนี้ อีกทั้งลูกสาวยังเรียนอยู่ ประกอบกับต้องเลี้ยงลูกคนเดียว เมื่อพบว่าตัวเองเป็นโรคซึ่งไม่มีทางหายเพื่อนก็ใช้สติตั้งรับและมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ โดยมีเพื่อนๆและลูกสาวคอยเป็นกำลังใจให้ ยอมรับว่ากำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยทุกท่านสามารถผ่านเรื่องร้ายๆได้ค่ะ
เพื่อนผู้เขียนพยายามรักษาตนเองทุกทางทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก แต่สุดท้ายเธอก็จากพวกเราไปอย่างสงบ
ส่วนน้องที่เป็นแพทย์นั้นพยายามดูแลสุขภาพ แต่ก็ไม่มีเวลาดูแลตัวเองได้ดีเท่าที่ควร ประกอบกับมีความเครียดสะสมอยู่เพราะต้องรับผิดชอบชีวิตผู้ป่วยทุกวัน
สุดท้ายตรวจพบว่าน้องป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายน้องใช้วิธีรักษาทั้งโดยแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือกซึ่งเน้นการกินอาหารโดยเฉพาะผักผลไม้ งดเนื้อสัตว์ มีการออกกำลังกายและการพักผ่อน โดยทำเป็นตารางในแต่ละวันว่าเวลาไหนกินอะไรและทำกิจกรรมอะไร
นอกจากนี้ยังทำงานให้น้อยลงเพื่อให้เวลาและรักษาตัวเองซึ่งได้ผลค่ะ เพราะตามลักษณะของโรคที่พบคาดการณ์ว่าจะเสียชีวิตภายใน 6 เดือน แต่สามารถยืดเวลาได้เกือบ 2 ปี แต่สุดท้ายก็จากไปอย่างสงบ
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ได้พิสูจน์ว่า ถ้าดูแลตัวเองอย่างเต็มที่ก็สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ผู้เขียนแม้เป็นหมอและคุ้นเคยกับโรคมะเร็ง แต่เมื่อเกิดกับคนใกล้ชิดและคนรู้จักย่อมสะเทือนใจทุกครั้ง
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าสาเหตุของโรคนี้ยังไม่สามารถสรุปได้แน่นอน แต่บางท่านก็ว่าส่วนใหญ่เกิดจากอาหาร ความเครียด ซึ่งในความเป็นจริง ถ้าวิเคราะห์ลึกๆ ทุกโรคก็เกิดจากสิ่งที่อยู่รอบตัวเราและสิ่งที่เราบริโภคเข้าไปนั่นเอง
ว่าด้วยสมุนไพรกับการรักษามะเร็ง
ในอดีต เมื่อมีคนไข้มะเร็งเข้ามาขอคำปรึกษาว่าจะรักษาอย่างไรดี ตัวผู้เขียนจะให้คำแนะนำเรื่องการดูแลตัวเองไป จนมาระยะหลังมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการใช้สมุนไพรช่วยในการรักษาแต่ก็ยังศึกษาในกลุ่มตัวอย่างจำนวนน้อยอยู่ เนื่องจากไม่ค่อยมีคนกล้าทำ เพราะต้องมั่นใจในประสิทธิภาพและประสิทธิผลจริงๆจึงนำมาใช้ศึกษาวิจัยในผู้ป่วยได้
เมื่อผลงานวิจัยออกมา ผู้เขียนยังไม่กล้านำมาใช้ แต่มีผู้ป่วยที่หมดหวังกับการรักษาวิธีการต่างๆเข้ามาที่โรงพยาบาลมากมาย ในดวงตาของแต่ละท่านนั้นเศร้ามาก จึงได้ตัดสินใจให้เภสัชกรผลิตยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคมะเร็งขึ้นมา
ผู้เขียนได้อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจก่อน ถ้าทุกท่านยอมรับจึงจ่ายยาตัวนี้ให้ โดยย้ำให้ผู้ป่วยใช้การแพทย์แผนปัจจุบันเป็นการรักษาหลัก ส่วนสมุนไพรเป็นตัวเสริมค่ะ ถ้าจะใช้สมุนไพรต้องให้เแพทย์แผนปัจจุบันที่รักษาอยู่รับทราบและอนุญาตก่อน ถ้าแพทย์ไม่อนุญาต ทางโรงพยาบาลบางกระทุ่มจะไม่จ่ายยาสมุนไพรให้ค่ะ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มาโรงพยาบาลเป็นผู้ที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันจบแล้ว หรือเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายซึ่งไม่มีที่พึ่งเมื่อเจอปัญหาอย่างนี้จึงตัดสินใจผลิตยาสมุนไพรค่ะ ประกอบกับสมุนไพรที่ใช้นั้นเราบริโภคเป็นอาหารอยู่แล้ว จึงไม่มีอันตรายใดๆ ผู้เขียนจึงกล้านำมาใช้กับผู้ป่วยค่ะ
เมื่อจ่ายยาให้ผู้ป่วยและนัดมาติดตามผลพบว่า ส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น โดยผู้ป่วยมะเร็งที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันจนจบแล้วบอกว่า กินยาสมุนไพรแล้วรู้สึกแข็งแรงและทุกวันนี้ยังไม่ยอมหยุดกินก็มีค่ะ เพราะกลัวว่ามะเร็งจะกลับมาอีก ส่วนผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นก่อนเสียชีวิตเพราะรู้สึกว่าได้รักษาตัวเองเต็มที่ ซึ่งความรู้สึกนี้สำคัญมากค่ะ
พลูคาว กับมะเร็ง
สมุนไพรที่ผู้เขียนใช้ชื่อ พลูคาว มีสรรพคุณเสริมภูมิต้านทานในร่างกาย ลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง รักษาสภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จากสรรพคุณดังที่กล่าวจึงใช้รักษาในผู้ป่วยมะเร็งได้ อีกทั้งยังใช้กับผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคเอดส์) โดยใช้พลูคาวผลิตเป็นยาร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น (องค์การเภสัชกรรมผลิตค่ะ)
สมุนไพรที่ผู้เขียนใช้ชื่อ พลูคาว มีสรรพคุณเสริมภูมิต้านทานในร่างกาย ลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง รักษาสภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จากสรรพคุณดังที่กล่าวจึงใช้รักษาในผู้ป่วยมะเร็งได้ อีกทั้งยังใช้กับผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง(โรคเอดส์) โดยใช้พลูคาวผลิตเป็นยาร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น (องค์การเภสัชกรรมผลิตค่ะ)
ทุกวันนี้พลูคาวถือเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่กำลังท้อแท้และหมดหวังในการรักษาตัวเอง แต่ไม่ใช่ยาเทวดาที่จะรักษาให้หายขาดได้ ต้องอาศัยอีกหลายวิธีเพื่อช่วยรักษาค่ะ ซึ่งผู้เขียนแนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การทำสมาธิ ซึ่งเป็นกระบวนการรักษาที่สำคัญของการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง (จริงๆแล้วทุกโรคเลยค่ะ)
โดยเฉพาะอาหารนั้น ถ้าเป็นแพทย์ทางเลือกจะแนะนำไม่ให้กินเนื้อสัตว์ เพราะเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นกรด ซึ่งเซลล์มะเร็งชอบเพราะเอื้อให้เซลล์เจริญเติบโตได้ดี แต่ถ้าจำเป็นต้องเสริมโปรตีน ควรเลือกเนื้อปลาค่ะ
นอกจากนี้ไม่ควรกินอาหารรสหวานเพราะเซลล์มะเร็งชอบค่ะดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งและคนรอบข้างต้องช่วยกันปรับพฤติกรรมการกินอาหาร
ส่วนการออกกำลังกายนั้นให้เลือกตามสภาพร่างกายตัวเองและทำจิตใจให้สงบ ปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่คิดวิตกกังวลเรื่องโรคที่เป็น ควรตั้งรับโดยดำเนินชีวิตอย่างมีสติและอย่าท้อถอยค่ะผู้เขียนสังเกตว่า ผู้ป่วยที่มีกำลังใจดีและมีพลังคิดบวก ช่วยให้การรักษาโรคมะเร็งได้ผลดี
อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ยาสมุนไพรไม่ใช่คำตอบของการรักษามะเร็งที่ดีที่สุด โรคนี้ต้องใช้หลากหลายวิธีเข้ามาช่วยในการรักษา และต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจระหว่างผู้ป่วย ญาติและทีมบุคลากรสาธารณสุขเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด
วิธีการทั้งหมดเป็นเพียงทางเลือกสำหรับผู้ป่วย อย่างไรก็ดีการดูแลและป้องกันตนเองไม่ให้ป่วยน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดังนั้นต้องรีบประเมินตัวเองด่วนว่า ที่ผ่านมาเราทำร้ายหรือละเลยสุขภาพตัวเองไปมากหรือไม่
ถ้าประเมินแล้ว รีบปรับแก้ตั้งแต่ขณะนี้ก็ยังไม่สายเกินไปค่ะ สวัสดีค่ะ
เครดิต: goodlifeupdate.com
Leave a Reply
View Comments